เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนนอยด์

เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนนอยด์

คาร์โรทีนอนยด์(Carotenoid) เป็นสารประกอบที่มีอยู่ในพืชผัก ผลไม้ ที่มีสีแดง สีส้ม สีเขียว และสีเหลือง เช่น แครอท แคนตาลูป ผักโขม ฟักทอง สาหร่าย มีคุณสมบัติต้านอนุุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิการเสื่อมของเซลล์ และอวัยวะต่างๆ สารคาร์โรทีนอยด์มีมากกว่า 600 ชนิด มีเพียงแค่ 6 ชนิดเท่านั้นที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อ ซึ่งรู้จักกันดีคือ เบต้าคาร์โรทีน(Beta-carotene) ซึ่งมีฤทธ์สูงสุด นอกจานั้นได้แก่ อัลฟาคาร์โรทีน(Alpha-carotebe) คริปโตแซนทิน(Cryptozanthin) ไลโคปีน(Lycopene) ลูทีน(Lutein) และซีแซนทีน(Zeaxathin) โดนคาร์โรทีนอยด์แต่ละชนิดจะทำงานเสริมฤิทธิ์กัน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ นอกจากนั้นต้องรับประทานผัก ผลไม้ ในปริมาณสูงแล้ว ยังต้องทานให้หลากหลายชนิด เพื่อให้ได้คาร์โรทีนอยด์ครบอีกด้วย


ประโยชน์ของเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์ 

ปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากแสงแดด
เป็นที่ทราบกันดีว่า รังสี UVจากแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดผิวอักเสบ ร้อนแดง ผิวไหม้แดด ผวหยาบกร้าน หมองคล้ำ ไม่สดใส พบว่าการได้รับเบต้าคาร์โรทีนต่อเนื่อง ช่วยปกป้องผิวที่อาจเกิดอันตรายจากแสงแดดได้


ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant)
อนุมูลอิสระ เป็นสารที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา ทั้งจากปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความเครียด ปฏิกิริยาต่างๆ หรืออาจเกิดการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด มลภาวะ บุหรี่ เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์มีคุณสมบัติในการทำลายอนุมูลอิสระได้อย่างดี ช่วยปกป้องเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ของร่างกายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรัง เช่น การแก่ก่อนวัย โรคมะเร็ง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยพบว่าหากรับประทานเบต้าคาร์โรทีนร่วมกับวิตามินอีและวิตามินซี จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการปกป้องเซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้เบต้าคาร์โรทีนสามารถกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกาย ให้มีประสิทธิภาพต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้น


เปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ เมื่อร่างกายต้องการ(Pro vitamin A)
เบต้าคาร์โรทีน จัดว่าเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะกรณีที่ร่างกายได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอ ซึ่งวิตามินเอ มีความสำคัญต่อดวงตาในการช่วยให้เรามองเห็นในที่มืด ช่วยบำรุงสายตาป้องกันโรคตาบอดกลางคืน(Night blindness) ป้องกันการเกิดต้อกระจก 


เบต้าคาร์โรทีนจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ดีเท่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นเบต้าคาร์โรทีนจึงช่วยการมองเห็นในที่มืด ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน ลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก และชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา


เหตุที่เราต้องเสริมเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์

เนื่องจากร่างกายเราไม่สามารถสังเคาระห์ได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหารหรือวิตามินเสริมเท่านั้น ในแต่ละวันเรามักได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเบต้าคาร์โรทีและคาร์โรทีนอยด์ที่ได้จากอาหารมีการดูดซึมไม่แน่นอน เบต้าแคโรทีนถูกทำลายได้โดยง่ายจากความร้อนในการประกอบอาหาร หรือกรณีที่ได้จากอาหารที่ไม่ผ่านการปรุง จะมีการดูดซึมได้ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากจะมีการจับตัวกับสารโพลีแซคคาไรด์ และโปรตีนในรูปสารประกอบเชิงซ้อน อีกทั้งร่างกายของคนเราจะสามารถดูดซึมเบต้าคาร์โรทีนไว้ได้เพียงร้อยละ 25-27 เท่านั้น  ซึ่งไม่เพียงพอที่จะป้องกันการเกิดโรคได้นั่นเองประกอบกับบ้างคนไม่ชอบบริโภคผักหรือผลไม้ ทำให้มีโอกาสขาดสารอาหารมากขึ้น เพื่อมห้ร่างกายได้รับประโยชน์จากเบต้าคาร์โรทีนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด  ศาสตราจารย์ แอนโทนี ดิพล็อก แนะนำให้รับประทานเบต้าคาร์โรทีน วันละ 15 มิลลิกรัม

ไม่มีความคิดเห็น: