15 สัญญาณเตือน อัลไซเมอร์

alertide, อเลอไทด์, สมอง, น้ำมันปลา, เบต้ากลูแคน, อัลไซเมอร์, ระบบประสาท
15 สัญญาณเตือนอัลไซเมอร์


15 สัญญาณเตือน อัลไซเมอร์ กำลังมาเยือน (Momypedia)
     คุณเป็นคนขี้ลืมหรือเปล่า ?
         - ลืมว่าวางกุญแจรถไว้ที่ไหน 
         - ลืมว่าจะต้องทำอะไร ทั้งที่เตือนตัวเองมาตลอดทั้งวันแล้ว      
         - ลืมว่าจะพูดอะไร ทั้งที่เพิ่งคิดได้เมื่อกี้ หรืออะไรที่เคยทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่อยู่ ๆ กลับลืมวิธีทำ ทำแล้วรู้สึกว่าทำไมมันถึงได้ยากกว่าเมื่อก่อน บางทีนี่อาจจะไม่ใช่อาการขี้ลืมธรรมดาแล้วก็ได้นะคะ 



     จริง ๆ แล้วอาการขี้หลงขี้ลืมก็มีกันอยู่ทุกคนค่ะ แต่ส่วนใหญ่สาเหตุจะมาจากการที่เราไม่มีสมาธิกับการทำสิ่งนั้น ๆ จึงไม่ได้สนใจจดจำ หรือคิดทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทำให้สมาธิในการจดจำสั้นลง แต่ในปัจจุบันมีการสำรวจพบว่าเพราะความเครียด มลพิษ ปัญหาต่างๆ ที่เร่งเร้า และอายุที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรากลายเป็นคนขี้ลืม และนำไปสู่โรคความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้เช่นกัน 



     แต่อย่าชะล่าใจไปนะคะ ว่าการลืมของเราเป็นเพียงอาการเล็กน้อย เพราะความเครียดหรือความไม่ใส่ใจ เพราะจริง ๆ มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่ร้ายแรงกว่านั้นก็ได้ 



     เพื่อให้คุณ ๆ ตั้งตัวรับโรคนี้ได้ทัน เรามาสำรวจตัวเองและคนรอบข้างจาก 15 สัญญาณที่เตือนว่า คุณอาจจะกำลังเข้าข่ายการเป็นอัลไซเมอร์กันดีกว่าค่ะ 



     1. หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้



     2. การตัดสินใจแย่ลง เปลี่ยนใจง่าย เช่น ถ้ามีเซลล์แมนมาขายของที่หน้าบ้านก็จะซื้อทันที ซึ่งจะต่างจากแต่ก่อนที่จะไม่ซื้อของพวกนี้เลยหรือ ไม่ใช้จ่ายอะไรง่าย ๆ ซึ่งข้อนี้มักจะนำไปสู่ปัญหาด้านการเงินด้วย คือใช้จ่ายแบบไม่คิด ใช้เงินโดยไม่คำนวณ ไม่มีการออมไว้เหมือนแต่ก่อน



     3. งานหรือกิจกรรมอะไรที่เคยทำอยู่ประจำ จะกลายเป็นงานที่ทำได้ยากขึ้น เช่น ลืมวิธีผูกเนคไท ลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า หรือถ้าจะทำไข่เจียวก็แตกไข่แตกเละคามือ ลืมปรุง หรือทอดโดยไม่ใส่น้ำมัน เป็นต้น



     4. วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอากระเป๋าตังค์ไปใส่ไว้ในตู้เย็น เอาช้อนส้อมไปใส่ไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิด และยังใช้ชีวิตปกติทั้งที่ข้าวของยังวางผิดที่



     5. สับสนเรื่องเวลา โดยมักจะคิดว่าเวลาผ่านไปนานกว่าปกติ เช่น นั่งรอห้านาทีก็จะคิดว่านั่งรอมาห้าชั่วโมง หรือเพิ่งใส่เสื้อตัวเก่งไปแล้วเมื่อวาน แต่คิดใส่เสื้อตัวนั้นไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เดือนก่อน เป็นต้น



     6. สื่อสารกับคนอื่นยากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการพูด มักจะเรียงลำดับคำผิด ใช้คำผิด พูดผิด หรือคิดไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอะไร จะพูดว่าอะไร



     7. เดินออกไปข้างนอกอย่างไม่มีจุดหมาย มักจะเดินออกไปที่ไหนซักที่โดยไม่รู้ว่าจะไปทำไม ไปทำอะไร



     8. ทำกิจกรรมบางอย่างแบบมีเหตุผลและซ้ำ ๆ เช่น เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วก็ปิดทันทีโดยที่ไม่ได้อยากหยิบอะไร พอเดินกลับมานั่งก็จะลุกขึ้นไปเปิดและปิดแบบเดิมอีกซ้ำ ๆ



     9. ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการตัดผม ตัดเล็บ หวีผม หรือลืมแม้กระทั่งว่าตื่นมาจะต้องล้างหน้าแปรงฟัน



     10. แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พูดหรือทำในสิ่งที่โดยปกติจะไม่พูด เช่น พูดว่าคนอื่นว่าอ้วนออกมาตรง ๆ เพราะขาดความคิดในการชั่งใจ หรือตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิด เหมือนตอนที่ยังไม่เริ่มมีอาการ



     11. รู้สึกหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา หรือมักจะชอบคิดว่าตัวเองเห็นใคร หรืออะไรคอยซุ่มดูตัวเองอยู่ หรือกลัวคนจะมาทำร้ายตลอดเวลา



     12. นอนหลับยาก กระสับกระส่ายในตอนกลางคืนมากกว่าแต่ก่อน



     13. ถอยห่างออกมาจากครอบครัว เพื่อน รวมไปถึงกิจกรรมเดิม ๆ ที่เคยทำ เช่น ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เล่นกีฬาที่เคยเล่นประจำทุกวัน เป็นต้น



     14. ชอบทำพฤติกรรมเหมือนเด็ก ๆ เช่น งอแงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือดีใจเกินกว่าเหตุถ้าได้ของที่ต้องการ



     15. พูดจาและแสดงอาการก้าวร้าว เช่น พูดว่าหรือด่าทอคนอื่น ทั้งที่แต่ก่อนไม่มีพฤติกรรมอย่างนี้มาก่อน 



    นี่เป็นเพียงวิธีสังเกตอาการเพียงเบื้องต้น ที่เราสามารถสำรวจได้ด้วยตัวเองคะ แล้วถ้าใครมีอาการข้างต้นเกินกว่า 5 ข้อขึ้นไปก็ต้องพิจารณาตัวเองได้แล้วนะคะ ว่าอาจจะเข้าข่ายโรคอัลไซเมอร์ และทางที่ดีคือลองไปพบแพทย์ เพื่อตรวจอาการเพิ่มเติมจะดีที่สุดคะ เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษาและเราสามารถป้องกัน หรือชะลอให้มันเกิดช้าลงได้คะ


วิตามินบำรุงสมอง ฟื้นฟูความจำและระบบประสาท อเลอไทด์ Alertide 


โทร 064 2616445 อั้ม ณัฐกานต์
Line:@nattakan


หรือคลิ๊กลิ้งค์ http://bit.ly/2kNTnkZ

ข้อมูลเพิ่มเติม

อเลอไทด์ Alertide
อเลอไทด์ Alertide

อเลอไทด์ Alertide

เด็กสวยงามเสมอ



"เด็กสวยงามเสมอ .."

อย่าได้ “พยายาม” 
ปั้นลูกเรา ให้เหมือนลูกใคร

อย่าได้ “ขีดเส้น” 
ให้ลูกเรา เดินตามลูกใคร

อย่าได้ “ตั้งเป้า” 
ให้ลูกเรา มีจุดหมายแบบใคร

อย่าได้ “บังคับ” 
ให้ลูกเรา เป็นอย่างใคร

เด็กทุกคนมี “สิ่งวิเศษ” 
ติดตัวมาทุกคน 

และ “สิ่งวิเศษ” เหล่านั้น
ก็ไม่ได้เหมือนกัน

——————————————

เราทุกคน มีหน้าทีเพียง 

เฝ้ามองและค้นหา 
“สิ่งวิเศษ” ในตัวลูกเราให้เจอ

และสนับสนุน ส่งเสริม “สิ่งวิเศษ” นั้น

อย่าพยายาม กดลูกลงพิมพ์ 
ให้ออกมา เป็นบล็อคเดียวกัน

——————————————

ลูกใคร.. เรียนอันนี้แล้วดี 
ก็พยายาม จะส่งลูกเราไปเรียนบ้าง

ลูกใคร.. ทำได้แบบนี้ 
ก็พยายามกระตุ้น 
ให้ลูกเราทำได้แบบนั้นบ้าง

ลูกใคร.. คิดแบบนั้น 
ก็พยายามจะบอก
ให้ลูกเรา คิดแบบเดียวกับเขาบ้าง

แบบนั้น ไม่ใช่การค้นหา 
“สิ่งวิเศษ” ในตัวลูกเรา 

แต่เรากำลังพยายาม 
“ลบสิ่งวิเศษ” ที่ลูกเรามี

แล้วยัดเยียดอย่างอื่น
ที่ได้ดั่งใจเราเข้าไปแทนที่

——————————————

ลูกเรา ไม่ต้องเหมือนลูกใครก็ได้

ลูกเรา ไม่ต้องเก่งเท่าลูกใครก็ได้

ลูกเรา ไม่ต้องคิดเหมือนลูกใครก็ได้

ลูกเรา ไม่ต้องมีเป้าหมาย
เดียวกับลูกใครก็ได้

หรือแม้แต่ 
ลูกเราไม่ต้อง “เหมือนเรา” ยังได้เลย

——————————————

ขอแค่.. ให้เค้าเป็น
ในสิ่งที่เค้า “ตั้งใจจะเป็น”

และอยู่ในขอบเขต
ของ "ความดีงาม"
นั่นหละพอแล้ว ..

เพราะเราคือ ผู้ให้ชีวิต 
เราไม่ใช่ เจ้าของชีวิตลูก

เรามีหน้าที่ ประคับประคอง

ไม่ใช่เอาเชือกผูก 
แล้วลากลูกให้เดิน 

ชี้แนะ บอกทาง 
แต่ไม่ใช่ “สั่งให้เดิน”

——————————————

เริ่มต้นเฝ้ามอง “สิ่งวิเศษ” 
ในตัวลูกของเรากันดีกว่า 

หยุดเฝ้ามอง “สิ่งวิเศษ”
ในตัวลูกคนอื่น 

แล้วพยายาม จะนำสิ่งเหล่านั้น
มาใส่ในตัวลูกเรา ให้หมดทุกอย่าง 

เพื่อให้เหมือน ลูกคนอื่นเป็น

——————————————

เด็กสวยงามเสมอ.. 
ถ้าได้ยิ้มอย่างมีความสุข 

..เชื่อไหม?

Credit: Mr.B

====================
จงส่งเสริมให้เขา เป็นตัวเขาเอง
พัฒนาสมองของเขา 

ด้วย  อเลอไทด์ alertide
เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ช่วยเสริมสร้างสมาธิ และความจำ

สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิด คลื่นสมองชนิดอัลฟา 
จากวิจัยทางการแพทย์ ทำให้สมองเกิด
สภาวะที่เรียกว่า "Superlearning" 

ช่วยให้เกิดสมาธิ จดจ่อกับกิจกรรมต่างๆได้ดีขึ้น 
มีไอเดียสร้างสรรค์ สามารถเรียนรู้และจดจำได้ดีขึ้น 
รวมถึงลดความเครียด และผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี 
อเลอไทด์  วิตามินบำรุงสมอง ฟื้นฟูความจำ และระบบประสาท 

 สอบถาม/สั่งซื้อ/สมัครตัวแทน 
 อั้ม ณัฐกานต์  Tel: 64 261 6445
 line ID : @cuq2079y (มี @ ข้างหน้า)

หรือ Click ลิ้งค์ล่างนี้เพื่อ Add Line ด่วนเลยค่ะ
➡คลิกแอดไลน์ https://line.me/R/ti/@cuq2079y
www.myhomealertide.com/p/15
http://myhomedcontact.lnwshop.com/p/21
https://facebook.com/myhomealertide

ประโยชน์ของเห็ดยามาบูชิตาเกะหรือเห็ดปุยฝ้าย



ประโยชน์ เห็ดยามาบูชิตาเกะหรือเห็ดปุยฝ้าย

ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย

ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยทำให้อายุยืนยาว

ช่วยชะลอแก่ ชะลอวัย

ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง

ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน 

ช่วยลดความดันโลหิตและรักษาโรคความดันโลหิตสูง

ช่วยปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำให้สมดุล

ช่วยลดไขมันในเลือด

ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น

ช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น

ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น

ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้นอนหลับได้สนิท

ช่วยทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ดีขึ้น

กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็ง

ช่วยแก้พิษจากรังสี คีโม

ช่วยบำรุงตับและรักษาโรคตับ ตับแข็ง ตับอักเสบ


ประโยชน์ของเบต้ากลูแคน


เบต้ากลูแคน จากยีสต์ขนมปัง ซึ่งเป็นอาหารของมนุษย์มากว่า 6,000 ปี สามารถปรับสมดุลร่างกายสามารถในการเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่ง ช่วยควบคุมอาการขอโรคต่างๆได้


ประโยชน์ของเบต้ากลูแคน

- ปรับระดับการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย

- ลดผลข้างเคียงของเคมีบำบัด เช่น การฉายแสง

- ปรับการทำงานของภูมิต้านทานที่ผิดปกติ เช่น ภูมิแพ้

- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ฟื้นฟูตับอ่อน

- ช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด

- ลดอาการปวดตามข้อ ไขข้ออักเสบ

- ลดการอักเสบ การติดเชื้อแทรกซ้อน

- อาการท้องผูก ช่วยระบบขับถ่าย

- รักษาความชุ่มชื้น ฟื้นฟูสภาพผิว ลบเลือนริ้วรอย

- มีประโยชน์กับหลอดเลือด ลดความดันโลหิต

- มีวิตามินซีสูง ป้องกันโรคหวัด ลดคลอเรสเตอรอล

- แก้ปัญหาระบบทางเดินหายใจ

- ดูแลผู้ติดเชื้อในระบบปัสสาว

- ช่วยในการเผาผลาญอาหาร

- ดูแลความสมดุลของกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน

- ป้องกันอาการผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจล้มเหลว

- ดูแลดวงตา ผิวหนัง เหงือก ปัญหาในลำคอ แผลในกระเพาะอาหาร ท้องผูก และสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

- ล้างพิษ บรรเทาอาการจุกเสียด แน่นท้อง และปัญหาเกี่ยวกับระบบการย่อย

- มีกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้

- อุดมด้วยกรดไขมันและสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้มข้น

- ควบคุมน้ำหนัก ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย

- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดอาการอ่อนเพลีย

- ป้องกันมะเร็ง โดยสาร Glucoaminoglycans (GAGs) ที่พบในกระดูกอ่อนปลาฉลามยับยั้งการสร้างเส้นเลือฝอยใหม่ๆ ที่จะไปเลี้ยงเซลล์ที่ผิดปกติ หรือเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์เหล่านั้นขาดสารอาหาร และไม่สามารถเจริญเติบโตได้ต่อไปอีก

- มีคอลลาเจน ( Collagen ) และคอนดรอยติน ซัลเฟต

- ช่วยบรรเทาอาการปวด อักเสบ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

- ลดอาการอักเสบของผิวหนัง

- สร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง

- ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น

- ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม

- ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์

- ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด



คอลลาเจน คืออะไร

คอลลาเจน คืออะไร?
คอลลาเจน คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นสายยาว ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างจากสารโปรตีนโดยทั่วไปเช่นแดียวกับเอนไซม์ เส้นใยคอลลาเจนมีลักษณะเป็นสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันกันมากมาย โดยปกติผิวหนังจะมีคอลลาเจนเป็นโครงสร้างอยู่มาก จึงมีแรงสปริงและยืดหยุ่นดีตามไปด้วย คอลลาเจนนั้นไม่ได้มีอยู่ที่ผิวหนังส่วนนอกเท่านั้น อวัยวะภายในร่างกาย ก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ได้แก่ ผังผืด (Fascia) กระดูกอ่อน เอ็น เอ็นกล้ามเนื้อ และกระดูก คอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “เคราติน”

เคราติน มีหน้าที่สร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่น เมื่อสารเคราตินในชั้นผิวลดลง จึงเกิดริ้วรอย (wrinkle) บนชั้นผิว นอกจากนี้ เคราตินมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตาด้วย

ในทางการแพทย์คอลลาเจน มีการใช้ในศัลยกรรมเสริมสวยอย่างแพร่หลาย โดยเป็นการช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยแผลไหม้เพื่อสร้างกระดูกใหม่ ทั้งยังใช้ในจุดประสงค์ทางทันตกรรม ออร์โทพีดิกส์และศัลยกรรมอื่นอีกมาก พบว่าใช้ทั้งคอลลาเจนมนุษย์และวัวเป็นสารเติมเข้าผิวหนังเพื่อรักษารอยย่นและการเปลี่ยนตามวัยของผิวหนังได้

ในวงการความสวยความงาม เนื่องจากเมื่อคอลลาเจนผ่านการสลายด้วยน้ำจะแตกตัวออกเป็นสารเชิงซ้อนของคอลลาเจนเปปไทด์แบบ Polyproline II (PPII) หรือเจลาติน นอกจากการใช้เป็นอาหารแล้ว คอลลาเจนยังใช้เป็นส่วนประกอบของยา เครื่องสำอาง เมื่อพิจารณาในแง่ของอุตสาหกรรมอาหาร สารคอลลาเจนไม่ได้ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่มีการประชาสัมพันธ์เชิงการค้าว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมคอลลาเจนสามารถยับยั้งการเกิดริ้วรอยและมีผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งยังไม่มีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ออกมาสนับสนุนการโฆษณาในลักษณะนี้


คอลลาเจนช่วยให้ผิวพรรณดูดีได้อย่างไร
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมคอลลาเจน ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่อย่างใด เพราะการรับประทานคอลลาเจน ร่างกายจะได้รับกรดอะมิโนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างโปรตีนทุกชนิด รวมทั้งคอลลาเจนด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ากรดอะมิโนที่ได้รับจะถูกนำไปสร้างเป็นคอลลาเจน เนื่องจากในผู้สูงอายุร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนที่ผิวหนังน้อยลง ไม่ได้เป็นเพราะขาดกรดอะมิโนที่เป็นวัตถุดิบในการสร้าง แต่เป็นเพราะกลไกต่างๆในการสร้างคอลลาเจนเสื่อมไปตามอายุ การรับประทานกรดอะมิโนเพิ่มขึ้น จึงแทบจะไม่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนังเลย
หมายความว่า ผู้ที่รับประทานคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย ไม่ได้มีผลทำให้ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งกันทุกคน โดยจะเห็นผลได้ชัดเจนต่อบรรดาวัยรุ่นมากกว่าผู้ที่มีอายุมากจนกลไลการสร้างคอลลาเจนเสื่อมลง เนื่องจากร่างกายเท่านั้นที่จะสร้างคอลลาเจนขึ้นเองได้ ฉะนั้น การรับคอลลาเจนด้วยวิธีการใดก็ตามแต่ อาจเป็นการเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์
คอลลาเจนกับสุขภาพ
คอลลาเจนนอกจากช่วยเรื่องผิวพรรณแล้ว คอลลาเจนยังช่วยเราได้มากกว่าที่คิด เพราะคอลลาเจน คือโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของกระดูก เอ็น และเนื้อเยื่อ ที่ทำหน้าที่ยึดเหนี่ยว ส่วนต่างๆ ในร่างกาย นักวิจัยจึงเชื่อว่าการที่ร่างกายมีคอลลาเจนอย่างเพียงพอจะช่วยลดอาการของโรคข้อต่ออักเสบ รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น นักกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหนักๆ เป็นต้น ทั้งนี้การรับประทานคอลลาเจนอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกับการรับประทานอาหาร ประเภทโปรตีน ทั้งนี้ ร่างกายคนเรามีปัจจัยแตกต่างกัน เช่น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้น้อยลง หรือชีวิตประจำวันแสนเร่งรีบ และการทำงานที่ทำให้มีความเครียดสูง ต้องเผชิญกับมลพิษรอบตัว ไม่มีเวลารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ก็ล้วนทำให้ร่างกายมีคอลลาเจนไม่เพียงพอกับความต้องการได้ทั้งสิ้น

การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อทดแทนในส่วนที่ขาดจึงได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีขั้นตอนการย่อยน้อยกว่าเนื้อสัตว์ ยิ่งมีโฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถทำให้ผิวขาวขึ้น ทำให้วัยรุ่นซื้อมาบริโภคกันมากมาย อย่างไรก็ดี เมื่อทราบแล้วว่าคอลลาเจน ช่วยอะไรเราได้บ้าง อย่าลืมใส่ใจสุขภาพแล้วหันมารับประทานกันให้เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานโปรตีนธรรมชาติหรือแบบเสริมอาหาร ก็ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม จะได้ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายจนทำให้สุขภาพของเราทรุดโทรมลง


"ดีเทนไม่ใช่เป็นเพียงคอลลาเจน ดีเทน คือสุดยอดผลลัพธ์ของการบำรุงผิว ด้วยส่วนผสมถึง15ชนิด"

สนใจติดต่อ
คุณอั้ม 064-2616445 
Line :@aumnatthakans



d10plus,คอลลาเจน,วิตามิน,สิว,ผิวพรรณ
ดีเท็นพลัส d-10 plus

ประโยชน์ของ พรีไบโอติกหรือใยอาหาร





ประโยชน์ของ พรีไบโอติกหรือใยอาหาร 

พรีไบโอติก คือ สารอาหารที่ไม่มีชีวิต เป็นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหาร แต่ช่วยเสริมการเติมโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ใหญ่ เช่น แลคโตบาซิลัส และบิฟิโดแบคทีเรีย ที่สามารถทนต่อน้ำย่อย กรด ด่าง ในกระเพาะและลำไส้ได้ เกิดประโยชน์ในการหมักและย่อยอาหารทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานอย่างปกติ



ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายพรีไบโอติกสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของ marcphages ทำให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้นกันในทางเดินอาหารดีขึ้น 



ช่วยปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ ช่วยดูดซับสารพิษและสารก่อมะเร็ง ในทางเดินอาหารไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และยังทำให้อุจจาระมีกากใยและนิ่ม สะดวกต่อการขับถ่าย


ป้องกันอาการท้องเสีย ที่เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินอาหารการเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ในลำไส้จะช่วยยับยั้ง การเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ก่อโรค ลดโอกาสการติดเชื้อ


ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด  พรีไบโอติก ช่วยดักจับไขมันและน้ำตาลในทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้ช้าลง และเพิ่มการขับออกของโคเลสเตอรอล



เสริมสร้างการดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียมจุลินทรีย์ในลำไส้จะผลิตกรดไขมันสายสั้นที่มีความเป็นกรด ช่วยดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก



ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ใยอาหารจากพรีไบโอติก ถูกหมักด้วยจุลินทรีย์ในลำไส้ เกิดเป้นกรดไขมันสายสั้น เช่น บิวทิเรท ซึ่งกระตุ้นการหลั่ง GLP-1 (Glucagons like peptide)ในกระแสเลือด ทำให้สมองรับรู้ความรู้สึกอิ่มและสบายท้อง

ประโยชน์ของโสม



 ประโยชน์ของโสม

ประโยชน์ของโสม

โสม ออกฤทธิ์ต่อปอด ม้าม และกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายชุ่มชื่น ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย และยังมีสรรพคุณทางการรักษาอื่นๆอีกมากมาย

  1. ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ปรับการทำงานของต่อมไร้ท่อต่าง ๆ
  2. ช่วยแก้อาการหน้ามืดเป็นลม
  3. ช่วยแก้อาการเหงื่อออกไม่รู้ตัว กระหายน้ำ
  4. ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร
  5. ช่วยแก้หัวใจเต้นผิดปกติ หรือหายใจผิดปกติ โสมมีสรรพคุณเป็นยาช่วยบำรุงหัวใจ โดยออกฤทธิ์คล้ายกับยา digoxin ช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันภาวะเส้นเลือดอุดตัน
  6. ใช้รักษาและป้องกันโรคผนังเส้นเลือดแดงใหญ่หนาและแข็ง โดยโสมจะไปช่วยทำให้คอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดลดน้อยลง
  7. โสมมีฤทธิ์ต้านการจับตัวกันของเกล็ดเลือด อันเป็นสาเหตุสำคัญของการอุดตันของหลอดเลือด
  8. โสมมีฤทธิ์สร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งสามารถนำมาใช้รักษาผู้ที่มีเลือดน้อยหรือผู้ที่โลหิตจางและความดันต่ำได้ และยังช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงในกระดูกได้อีกด้วย
  9. โสมมีฤทธิ์ต้านพิษต่อตับ โดยโสมสามารถช่วยป้องกันการเกิดพิษต่อตับอันเกิดจากคลอโรฟอร์ม คาร์บอนเตตระคลอไรด์และแอลกอฮอล์ได้
  10. ใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับความผิดปกติต่าง ๆ เช่น หย่อนสมรรถภาพทางเพศ อาการท้องผูก ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ โลหิตจาง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และความเครียด 
  11. ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบในหญิงวัยหมดประจำเดือนหรืออาการวัยทอง
  12. ช่วยลดอาการผิวหนังแห้งและเหี่ยวย่น จึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น
  13. ช่วยเร่งฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายของผู้ป่วย ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการฉายรังสี จากการศึกษาพบว่าโสมสามารถช่วยต่อต้านโรคและอันตรายที่เกิดจากรังสี รวมถึงสารพิษต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  14. ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีแกมมา 
  15. ช่วยกระตุ้นการสร้างอสุจิ 
  16. ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของรังไข่และการตกไข่


ประโยชน์ของวิตามินซี

วิตามินซี

วิตามินซี ประโยชน์ที่มากกว่าแค่การป้องกันหวัด

จากผลการวิจัยในปี 1970 โดย ดร.ไลนัส  พอลลิ่ง ซึ่งเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบล 2 ครั้ง ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง "วิตามินซีกับโรคหวัด" เขาได้กล่าวว่าหากเราได้รับ วิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัมจะสามารถป้องกันหวัด และถ้าเป็นหวัดจะหายเร็วกว่า โดยจะมีวันป่วยน้อยกว่าคนปกติถึง 60% ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมมากมายทำให้เราทราบว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากกว่าการป้องกันหวัด



เสริมสร้างภูมิต้านทาน
วิตามินซี มีคุณสมบัติในการทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นวิตามินซี ยังช่วยลดการหลั่งสารก่อภูมิแพ้ในร่างกายหรือฮีสตามีน สารก่อภูมิแพ้จะถูกกระตุ้นให้มีปริมาณสูงขึ้น เมื่อร่างกายได้รับสารหรือสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ถ้าร่างกายเรามีวิตามินซีเพียงพอ สามารถบรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส หรืออาการแพ้ต่างๆได้



ช่วยบำรุงผิว
การดูแลสุขภาพเพื่อให้มีผิวพรรณที่สมบูรณ์ คือการรับประทานผักสดและผลไม้สด ทำให้ผิวสวย เหงือและฟันแข็งแรง เพราะวิตามินซีในผักและผลไม้ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตของผิว เมื่อเซลล์ผิวได้รับอาหารมากก็จะทำงานดีขึ้น ผิวมีสุขภาพดีและเรียบเนียน วิตามินซีช่วยสังเคาระห์ คอลลาเจน ทำให้ผิวแน่น และยืดหยุ่นได้ดี ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เพราะวิตามินซีช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง เสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งร่าง และต้านการอักเสบ



คนที่สูบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้คนที่สูบบุหรี่ ร่างกายมีความต้องการวิตามินซีมากกว่าคนอื่น
การวิจัยพบว่า เด็กที่ผู้ปกครองสูบบุหรี่ จะมีปริมาณวิตามินซีในร่างกายลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้น คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีคนสูบบุหรี่หรือสูบบุหร่เอง ควรรับประทานวิตามินซีเสริม เพราะวิตามินซีช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ของคนที่สูบบุหรี่ให้มีระบบไหลเวียนดีขึ้น การเปลี่ยนแปลของเส้นเลือดจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อรับประทานวิตามินซี



รับประทานวิตามินซีทุกวัน ไม่เป็นต้อกระจก
มีการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินซี มาอย่างน้อย 10 ปี การเกิดโรคต้อกระจก ลดลงถึง 77%  ซึ่งอาการเริ่มแรกของต้อกระจกคือ มีอาการเลนส์ตาขุ่นมัว



ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง
การใช้วิตามินซี 5,000 มิลลิกรัม/วัน ร่วมกับสารสกัดชาเขียว 1,000 มิลลิกรัม เป็นประจำทุกวัน ช่วยลดอัตราการเติบโตของมะเร็งผิวหนังได้และเต้านมได้ 100% และช่วยลดการเติบโตของมะเร็งลำไส้ได้ 75% ด้วยคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระทั้งวิตามินซี และชาเขียว



รับประทานวิตามินผักและผลไม้ อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ 

เพราะวิตามินซี เป็นวิตามินที่เสื่อมสลายได้ง่ายมีสัมผัสกับอากาศ ความร้อน ความชื้น เราควรเลือกรับประทานผัก ผลไม้ที่สด ใหม่ หรือเก็บจากต้นได้ยิ่งดี แต่ในความจริงเราไม่สามารถเลือกได้ วิตามินซีที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันอาจไม่เพียงพอ



วิตามินซีเราประทานในระยะยาวปลอดภัย 

วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ เมื่อรับประทานเกิดนร่างกายสามารถขับออกได้ตามปกติทางปัสสาวะ หากได้รับวิตามินซีน้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ จะมีอาการของโรคเลือดออกตามไรฟัน  จากผลการวิจัยพบว่าการรับประทานวิตามินซี เป้นประจำทุกวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานสามารถรับประทานได้สูงถึง 3,000 มิลลิกรัมโดยไม่มีอันตรายใดๆ






เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนนอยด์

เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนนอยด์

คาร์โรทีนอนยด์(Carotenoid) เป็นสารประกอบที่มีอยู่ในพืชผัก ผลไม้ ที่มีสีแดง สีส้ม สีเขียว และสีเหลือง เช่น แครอท แคนตาลูป ผักโขม ฟักทอง สาหร่าย มีคุณสมบัติต้านอนุุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิการเสื่อมของเซลล์ และอวัยวะต่างๆ สารคาร์โรทีนอยด์มีมากกว่า 600 ชนิด มีเพียงแค่ 6 ชนิดเท่านั้นที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อ ซึ่งรู้จักกันดีคือ เบต้าคาร์โรทีน(Beta-carotene) ซึ่งมีฤทธ์สูงสุด นอกจานั้นได้แก่ อัลฟาคาร์โรทีน(Alpha-carotebe) คริปโตแซนทิน(Cryptozanthin) ไลโคปีน(Lycopene) ลูทีน(Lutein) และซีแซนทีน(Zeaxathin) โดนคาร์โรทีนอยด์แต่ละชนิดจะทำงานเสริมฤิทธิ์กัน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ นอกจากนั้นต้องรับประทานผัก ผลไม้ ในปริมาณสูงแล้ว ยังต้องทานให้หลากหลายชนิด เพื่อให้ได้คาร์โรทีนอยด์ครบอีกด้วย


ประโยชน์ของเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์ 

ปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากแสงแดด
เป็นที่ทราบกันดีว่า รังสี UVจากแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดผิวอักเสบ ร้อนแดง ผิวไหม้แดด ผวหยาบกร้าน หมองคล้ำ ไม่สดใส พบว่าการได้รับเบต้าคาร์โรทีนต่อเนื่อง ช่วยปกป้องผิวที่อาจเกิดอันตรายจากแสงแดดได้


ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant)
อนุมูลอิสระ เป็นสารที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา ทั้งจากปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความเครียด ปฏิกิริยาต่างๆ หรืออาจเกิดการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด มลภาวะ บุหรี่ เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์มีคุณสมบัติในการทำลายอนุมูลอิสระได้อย่างดี ช่วยปกป้องเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ของร่างกายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรัง เช่น การแก่ก่อนวัย โรคมะเร็ง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยพบว่าหากรับประทานเบต้าคาร์โรทีนร่วมกับวิตามินอีและวิตามินซี จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการปกป้องเซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้เบต้าคาร์โรทีนสามารถกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกาย ให้มีประสิทธิภาพต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้น


เปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ เมื่อร่างกายต้องการ(Pro vitamin A)
เบต้าคาร์โรทีน จัดว่าเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะกรณีที่ร่างกายได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอ ซึ่งวิตามินเอ มีความสำคัญต่อดวงตาในการช่วยให้เรามองเห็นในที่มืด ช่วยบำรุงสายตาป้องกันโรคตาบอดกลางคืน(Night blindness) ป้องกันการเกิดต้อกระจก 


เบต้าคาร์โรทีนจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ดีเท่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นเบต้าคาร์โรทีนจึงช่วยการมองเห็นในที่มืด ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน ลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก และชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา


เหตุที่เราต้องเสริมเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์

เนื่องจากร่างกายเราไม่สามารถสังเคาระห์ได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหารหรือวิตามินเสริมเท่านั้น ในแต่ละวันเรามักได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเบต้าคาร์โรทีและคาร์โรทีนอยด์ที่ได้จากอาหารมีการดูดซึมไม่แน่นอน เบต้าแคโรทีนถูกทำลายได้โดยง่ายจากความร้อนในการประกอบอาหาร หรือกรณีที่ได้จากอาหารที่ไม่ผ่านการปรุง จะมีการดูดซึมได้ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากจะมีการจับตัวกับสารโพลีแซคคาไรด์ และโปรตีนในรูปสารประกอบเชิงซ้อน อีกทั้งร่างกายของคนเราจะสามารถดูดซึมเบต้าคาร์โรทีนไว้ได้เพียงร้อยละ 25-27 เท่านั้น  ซึ่งไม่เพียงพอที่จะป้องกันการเกิดโรคได้นั่นเองประกอบกับบ้างคนไม่ชอบบริโภคผักหรือผลไม้ ทำให้มีโอกาสขาดสารอาหารมากขึ้น เพื่อมห้ร่างกายได้รับประโยชน์จากเบต้าคาร์โรทีนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด  ศาสตราจารย์ แอนโทนี ดิพล็อก แนะนำให้รับประทานเบต้าคาร์โรทีน วันละ 15 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของน้ำมันปลา

ประโยชน์ของน้ำมันปลา

น้ำมันปลาเป็นอาหารประเภทไขมัน ซึ่งประกอบไปด้วยกรดไขมันในกลุ่ม Omega-3 ซึ่งมีกรดไขมันที่จำเป็นอยู่ 2 ชนิด คือ

EPA(Eicosapentaenoic Acid) กรดไขมัน EPA มีส่วนช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป้นสาเหตุในการเกิดโรคหัวใจและสมองอุดตัน นอกจากนั้นยังมีส่วนช่วยบรรเทาอาการข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์



DHA(Docosahexaenoic Acid) กรดไขมัน DHA มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและสายตา ช่วยเสริมสร้างและป้องกันความเสื่อมของสมองการเรียนรู้และความจำ รวมถึงระบบสายตา ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ



สำคัญต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด 

ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด กรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลา ช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจและสมอง จากผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจวาย ที่รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 วันละ 850 มิลลิกรัม/วัน(ปริมาณ EPA+DHA)ร่วมกับวิตามินอีธรรมชาติ 300 มิลลิกรัม/วัน  สามารถลดอัตราการตาย เนื่องจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด รวมถึงโรคหลอดเลือดสมองลงได้ถึง 15%



ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน กรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลา เป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มไอโคซานอยด์ ได้แก่ พรอสตาแกลนดิน-3 และทรอมบอกซาน-3 สารกลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกร็ดเลือด มีส่วนช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดและช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น ลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ



ช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ผลการวิจัยพบว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลามีประสิทธิภาพที่ดีในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด สามารถช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้ ประมาณ 20-50% ซึ่งประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาที่ใช้ลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่มีระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงถึง 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร น้ำมันปลาก็ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือ ความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย สามารถใช้ร่วมกับยาหรือสารสกัดจากธรรมชาติโพลีโคซานอล ในการลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล



ลดความดันโลหิต จากผลการวิจัยของ John Hopkins Medical School ได้รวบรวมผลการศึกษาจาก 17 รายงานการศึกษาทางคลีนิค พบว่าการรับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 วันละ 3,000 มิลลิกรัม สามารถช่วยลดความดันล่าง(diastolic pressure)ได้ 3.5 มิลลิเมตรปรอท และความดันบน(systolic prssure)ได้ถึง 5.5 มิลลิเมตรปรอท เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลาจะช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้ไหลเวียนของเลือดดีขึ้น มีผลทำให้ความดันโลหิตลดลง น้ำมันปลาจะไม่มีผลต่อความดันในผู้ที่มีความดันปกติ



ลดอาการข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์ กรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลาสามารถบรรเทาอาการข้อเสื่อมและข้อรูมาตอยด์ เนื่องจากมีผลลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบของข้อ เช่น Interleukin-1, Tumor necrosis factor และกรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลาเป็นสารตั้งต้นในการสร้าง PGE3 ช่วยลดการอักเสบของข้อ 



ผลการศึกษาจาก Harvard Medical School ทำการรวบรวมผลการศึกษาในผู้ป่วยไขข้ออักเสบ 368 ราย ที่รับประทานน้ำมันปลาพบว่าช่วยลดอาการเจ็บและข้อตึงในตอนเช้า การรับประทานน้ำมันปลาเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยที่มีปัญหาข้อเสื่อม ข้ออักเสบเรื้อรังเพื่อบรรเทาอาการปวด แทนการรับประทานยาแก้ปวด ซึ่งมีผลข้างเคียงตับ ไต และกระเพาะอาหาร



การวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Surgical Neurology ระบุว่าน้ำมันปลาสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดคอ หรือปวดกลังเรื้อรัง โดยทำการศึกษากับผู้ป่วย 250 คน ได้รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 วันละ 2,600 มิลลิกรัม(ปริมาณ EPA+DHA) ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังจากลดปริมาณลงเหลือวันละ 1,200 มิลลิกรัม (ปริมาณ EPA+DHA)พบว่าหลังจากรับประทานน้ำมันปลา 75 วัน ผู้ป่วยประมาณ 59% สามารถเลิกรับประทานยาแก้ปวดต่างๆ ผู้ป่วยประมาณ 60% พบว่าอาการปวดหลัง  และปวดคอลดลง และผู้ป่วยกว่า 88% รู้สึกพึงพอใจกับผลที่ได้รับและยืนยันจะรับประทานน้ำมันปลาต่อ



บำรุงสมอง เสริมความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อมเสื่อมการทำงานของเซลล์สมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อมจากการศึกษาพบว่า 40% ของกรดไขมันในสมองและ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา คือ กรดไขมัน DHA 


กรดไขมัน DHA มีบทบาทสำคัญและจำเป็นต่อสมอง ผลการวิจัยทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัย UCLA ของอเมริกา พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาช่วยป้องกันสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer)ได้ เนื่องจาการศึกษาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุกว่า 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าระดับกรดไขมัน DHA ลดต่ำลงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมได้



ลดภาวะซึมเศร้า จากผลการวิจัยพบว่าผู้ที่บริโภคปลาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง มีอัตราเป็นโรคซึมเศร้าต่ำ เพราะสมดุลของกรดไขมันในร่างกาย มีผลต่อความรุนแรงในการเกิดโรคซึมเศร้า คนที่มีระดับกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำ และกรดไขมันโอเมก้า-6 สูงมีภาวะเกิดโรคซึมเศร้ามากกว่าปกติ 



เบาหวาน  เบาหวานชนิดที่สองมักพบในผู้ใหญ่ที่อ้วน ซึ่งนักวิจัยชาวเนเธอร์แลนด์ค้นพบว่ากรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด



ปวดไมเกรน กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารพรอสตาแกลนดิน และลดการหลั่งซีโลโทนินทำให้การเกาะตัวของเกล็ดเลือดลดลงในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมอง จึงมีส่วนช่วยลดอาการไมเกรน



หอบหืด การรับประทานน้ำมันปลาช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ที่เป็นตัวสำคัญให้เกิดอาการหอบหืด คือ สารลิวโคไตรอินและพรอสตาแกลนดิน การรับประทานน้ำมันปลาอย่างต่อเนื่องจะช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้


สะสมเนื้อกระดูกช่วงวัยรุ่น ป้องกันกระดูกพรุนตอนแก่



 ป้องกันโรคกระดูกพรุน

สะสมเนื้อกระดูกช่วงวัยรุ่น ป้องกันกระดูกพรุนตอนแก่

สะสมเนื้อกระดูกให้มากที่สุดในช่วงวัยรุ่น เหตุมวลกระดูกค่อย ๆ หายไปเมื่ออายุมากขึ้น เสี่ยงโรคกระดูกพรุน แนะกินอาหารแคลเซียมสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันได้



กระดูกเป็นเนื้อเยื่อพิเศษ มีหน้าที่เป็นโครงสร้างสำหรับเป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อและเอ็นยึดต่าง ๆ เป็นเกราะป้องกันการกระทบกระแทกเป็นแกนสำหรับการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการดึงหรือหดตัวของกล้ามเนื้อเป็นแหล่งสังเคราะห์เซลล์เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ รวมทั้งเป็นคลังของเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกาย คือ แคลเซียม 



โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่เนื้อเยื่อกระดูกผุกร่อนไปจากปกติโครงกระดูกซึ่งเคยแข็งแกร่งจะเปลี่ยนเป็นโครงที่ผุกร่อนพร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ โดยมีสาเหตุมาจากกระบวนการเสริมสร้างกระดูกลดลงและเนื้อเยื่อเสื่อมสลายในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป


“ตามปกติเพศหญิงจะมีมวล
กระดูกน้อยกว่าเพศชาย เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนเพศหญิง จึงมีอัตราการสูญเสียมากกว่าการสร้างกระดูก จึงทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน สำหรับอาการของโรคกระดูกพรุนมักจะไม่แสดงอาการเตือนภัยใด ๆ อาจมีแค่ปวดเมื่อย คนทั่วไปมักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุนจนกว่าเข้าจะรับการรักษากระดูกจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย หรือมีอาการปวดหลัง หลังโก่งค่อมหรือโค้งงอ ตัวเตี้ยจากการยุบตัวลงของกระดูกสันหลัง”



แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุน คือ การสะสมเนื้อกระดูกให้มากที่สุดในช่วงวัยรุ่น พยายามรักษาปริมาณเนื้อกระดูกให้คงเดิมมากที่สุดในวัยก่อนหมดประจำเดือน และชะลอการถดถอยของเนื้อกระดูก เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดกระดูกหักในวัยหลังหมดประจำเดือน โดยเฉพาะตำแหน่งที่อาจเกิดขึ้นบ่อย ได้แก่ กระดูกข้อสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ


นอกจากนี้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ คือ 800 - 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน และควรกินแคลเซียมหลังอาหารเพื่อสร้างความแข็งแรงให้
กระดูกและฟัน เช่น นม เนยแข็ง ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเล็กปลาน้อยพร้อมกระดูก กุ้งแห้ง กุ้งฝอย ถั่วแดง งาดำ อาหารทะเล ผักใบเขียวทุกชนิด ดื่มน้ำที่มีสารฟลูออไรด์ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรเพิ่มการดูดซึมสารแคลเซียมโดยการเพิ่มวิตามินดีในรูปของอาหารหรือยา อาหารวิตามินดีสูง ได้แก่ นม น้ำมันตับปลา เนยแข็ง เนย ไข่ และตับ เป็นต้น นอกจากนี้ การได้รับแสงแดดจะสามารถช่วยเพิ่มการสังเคราะห์วิตามินดี ทางผิวหนังได้อีกด้วย